ความรู้ที่ได้รับ
เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
บุคคลที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
หมายถึง บุคคลที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากบุคคลทั่วไป
และพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนนี้ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ต่อสิ่งต่างๆ
และปัญหาทางพฤติกรรมนั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ไม่เป็นที่ยอมรับกันทางสังคมและวัฒนธรรม รวมทั้งขาดสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น
มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม มีความคับข้องใจ
มีการเก็บกดทางอารมณ์โดยแสดงออกทางร่างกาย
ลักษณะของเด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรมและอารมณ์
- ก้าวร้าว ก่อกวน
เด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรมและอารมณ์ มักแสดงออกในทางก้าวร้าว
ก่อกวนความสงบของผู้อื่น พฤติกรรมที่แสดงออกอาจรวมไปถึงความโหดร้าย ทารุณสัตว์
ชกต่อย ทำร้ายตัวเองและผู้อื่น หวีดร้อง กระทืบเท้า ไม่เชื่อฟังครูและพ่อแม่
พฤติกรรมเหล่านี้อาจรุนแรงขึ้นหากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง
- การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ หมายถึง
ไม่หยุดนิ่ง เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา โดยปราศจากจุดหมาย นอกจากนี้ยังมีความสนใจสั้น
สนใจในบทเรียนได้ไม่นาน ขาดสมาธิในการเรียน
- การปรับตัวทางสังคมเด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรมและอารมณ์
จะมีการปรับตัวทางสังคมไม่ถูกต้อง ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นที่ยอมรับทางสังคม เช่น
แก๊งอันธพาล การทำลายสาธารณสมบัติ ลักขโมย หนีโรงเรียน การประทุษร้ายทางเพศ
พฤติกรรมเหล่านี้มักจะเกิดกับเด็กวัยรุ่นเป็นส่วนใหญ่
- ความวิตกกังวลและปมด้อย
เด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรมและอารมณ์อาจไม่กล้าพูดกล้าแสดงออกในชั้นเรียน
มีอาการประหม่าขาดความเชื่อมั่นในตนเอง
พฤติกรรมดังกล่าวต้องเป็นพฤติกรรมที่ค่อนข้างรุนแรงและเกิดขึ้นสม่ำเสมอเท่านั้น
จึงจัดว่าเป็นเด็กที่มีปัญหา
- การหนีสังคมหรือการปลีกตัวออกจากสังคมเป็นพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนอย่างหนึ่ง
เช่น การที่เด็กไม่ค่อยพูด ไม่เล่นกับเพื่อน ไม่ร่วมกิจกรรมขี้อาย ชอบอยู่คนเดียว
บางคนเจ้าอารมณ์ บางคนแสดงออกทางสังคมไม่เหมาะสม
- ความผิดปกติทางการเรียน
เด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรมและอารมณ์จะมีผลการเรียนต่ำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการอ่าน การสะกดคำ การคำนวณ
การตัดสินว่าเด็กคนใดเป็นเด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรมนั้น
ควรพิจารณาความรุนแรงและความส่ำเสมอควบคู่ไปด้วย การตัดสินควรใช้เกณฑ์เป็นหลักในการพิจารณา
โรคออทิสติกอยู่ในกลุ่ม พีดีดี (Pervasive Developmental Disorders; PDDs) หรือ
ความบกพร่องของพัฒนาการแบบรอบด้าน ซึ่งแสดงอาการอย่างชัดเจนในวัยเด็ก
ทำให้พัฒนาการทางด้านทางสังคมและภาษาบกพร่อง ไม่เป็นไปตามปกติ มีพฤติกรรม ความสนใจ
และกิจกรรมที่ผิดไปจากปกติ
ความบกพร่องของพัฒนาการแบบรอบด้าน
หรือ พีดีดี หรือ ออทิสติก สเป็กตรัม (Autistic
Spectrum Disorder) แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม คือ
1. ออทิสติก (Autistic
Disorder)
2. เร็ทท์ (Rett’s
Disorder)
3. ซีดีดี (Childhood
Disintegrative Disorder)
4. แอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s
Disorder)
5. พีดีดี เอ็นโอเอส (Pervasive
Developmental Disorder Not Otherwise Specified; PDD-NOS)
นอกจากนี้ ยังมีชื่อเรียกอื่นอีก เช่น
ออทิสติก (Autistic Disorder) และ
ออทิสซึม (Autism) ในปี พ.ศ. 2556 จะใช้ชื่อทางการในระดับสากลเหมือนกันทั่วโลก
คือ Autism Spectrum Disorder ส่วนชื่อเรียกในภาษาไทย คือ
ออทิสติก
โรคนี้เป็นกลุ่มของโรคที่มีสาเหตุจากความผิดปกติของสมอง
แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นสมองส่วนใด ที่ทำให้เกิดความบกพร่องของพัฒนาการด้านภาษาและสังคม
โดยความรุนแรงของแต่ละโรคในกลุ่มแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับพัฒนาการทางภาษา ไอคิว (Intelligence Quotient) และความผิดปกติอื่นๆที่พบร่วมด้วย
จากการสำรวจพบว่าเด็กเป็นออทิสติกมีแนวโน้มสูงขึ้นในทุกประเทศทั่วโลก
และพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ในผลสำรวจเด็กที่ป่วยพบว่า กลุ่มเสี่ยง
จะอยู่กลุ่มที่แม่มีปัญหาในระหว่างตั้งครรภ์ มีปัญหาระหว่างคลอด หรือหลังคลอด
อย่างเช่น สมองของลูกทำงานผิดปกติเนื่องจากการติดเชื้อ อุบัติเหตุ
หรือได้รับสารพิษ เช่น สารตะกั่ว หลังคลอดเป็นต้น
แต่ไม่ได้หมายความว่าเด็กกลุ่มเสี่ยงจะเป็นเด็กพิเศษทุกคน
และเด็กที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงก็อาจเป็นออกทิสติกได้เช่นกัน
เด็กเล็ก อายุ 1 ปีครึ่ง – 2 ปี
การรักษาโรคออทิสติก
กลุ่มโรคออทิสติก
ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้นเป้าหมายของการรักษา คือ
การส่งเสริมพัฒนาการและลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมลง และให้เด็กมีภาวะที่ใกล้เคียงกับเด็กปกติมากที่สุด
หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่อายุยังน้อย
และต่อเนื่องทำให้ผลการรักษาดี มีวิธีการรักษาที่เหมาะสม คือ บูรณาการ
การรักษาด้านต่างๆเข้าด้วยกันตามความจำเป็นของเด็กแต่ละคน
พ่อแม่และคนในครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการดูแลเด็กมาก
แพทย์จะให้พ่อแม่ของเด็กเป็นผู้ร่วมรักษาด้วย
และแนะนำให้พ่อแม่กลับไปสอนหรือปรับพฤติกรรมเด็กที่บ้านได้ด้วยตัวเอง
และนำเด็กกลับมาประเมินผล รวมทั้งรับคำแนะนำใหม่กลับไปปฏิบัติ
ปัจจุบันยังไม่มียาที่รักษาอาการออทิสติกโดยตรง
แต่เด็กบางคนแพทย์จะให้ยาเพื่อช่วยให้เรียนรู้ได้ดีขึ้น
สรุป
แม้ว่ากลุ่มโรคออทิสติก เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นตลอดชีวิต
แต่เด็กอาจจะโตเป็นผู้ใหญ่อยู่ในกลุ่ม 1 ใน 3 ที่สามารถดูแลช่วยเหลือตนเองได้
และมีโอกาสที่จะอยู่ในกลุ่ม 1 - 2% ของผู้ป่วยโรคนี้
ที่สามารถดำรงชีวิตได้เหมือนคนปกติ แต่จะต้องมีปัจจัยหลายอย่าง เช่น
เด็กมีระดับไอคิวมากกว่า 70 หรือไม่มีภาวะปัญญาอ่อนร่วม
เด็กสามารถพูดสื่อสารได้ก่อนอายุ 5 ปี
และไม่มีความผิดปกติอื่นๆร่วมด้วย เช่น อาการชัก เป็นต้น
ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า
เด็กได้รับการวินิจฉัยและการรักษาตั้งแต่อายุยังน้อย
ได้รับความเอาใจใส่จากพ่อแม่และครอบครัว ก็จะทำให้เด็กมีโอกาสพัฒนาได้มากกว่าการรักษาเมื่ออายุมากขึ้น
เด็กพิการซ้ำซ้อน
เด็กพิการซ้ำซ้อน หมายถึง
เด็กที่มีสภาพความบกพร่องหรือความพิการมากกว่าหนึ่ง อย่างในบุคคลเดียวกัน
เช่น เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นกับบกพร่องทางการเห็นกับบกพร่องทางการได้ยิน
หรือบกพร่องทางได้ยินกับบกพร่องทางสติปัญญา เป็นต้น
บุคคลที่มีความบกพร่องดังกล่าวต้องได้รับการโอกาสทางการศึกษาตามกระบวนการจัดการศึกษาพิเศษซึ่งในปัจจุบันองค์การของรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายโดยมีศูนย์การศึกษาพิเศษ
ประจำจังหวัดทุกจังหวัดมีโรงเรียนเฉพาะความพิการนอกจากนั้นยังขยายเครือข่ายไปยังโรงเรียนเรียนร่วมเพื่อให้บริการแก่เด็กพิการหรือผู้มีความบกพร่องที่จำเป็นต้องได้รับการศึกษาพิเศษอย่างทั่วถึงและมีการประสานงานร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในการพัฒนาผู้พิการในทุก ๆ ด้าน
ญาอ่อน-ตาบอด
ปัญญาอ่อน-ร่างกายพิการ หูหนวก-ตาบอด เด็กพิการซ้ำซ้อน (Children with Multiple Handicaps) เด็กบกพร่องซ้ำซ้อน หมายถึง ผู้ที่มีความบกพร่องที่มากกว่าหนึ่งอย่าง เป็นเหตุให้เกิดปัญหาขัดข้องในการเรียนรู้อย่างมาก เช่น ปัญ
เด็กที่มีความบกพร่องซ้ำซ้อนซึ่งบางที่อาจเรียกว่าเด็กพิการซ้ำซ้อน
(Multiple Handicapped Children ) หมายถึง
เด็กที่มีสภาพความบกพร่องทางอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย (เช่น
เด็กร่างกายพิการ – แขน ขา ลำตัว
เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน เด็กปัญญาอ่อน
เป็นต้น) มากกว่า 1 อย่าง ในบุคคลเดียวกัน เช่น
เด็กปัญญาอ่อน ที่สูญเสียการได้ยิน เด็กปัญญาอ่อนที่ตาบอด
เด็กที่ทั้งหูหนวกและตาบอด เป็นต้น
เด็กเหล่านี้อาจไม่ได้รับประโยชน์จากการส่งเข้าเรียนในโครงการสอนเด็กปัญญาอ่อน
โครงการสอนเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย
โครงการสอนเด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
โครงการใดโครงการหนึ่งโดยเฉพาะโดยไม่จัดบริการทางการศึกษา
และบริการด้านอื่นเพิ่มเติม