วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

6 กุมภาพันธ์ 2557

6   กุมภาพันธ์   2557
วิชา การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
EAED 2209 เวลา 15.00 - 17.30  กลุ่มเรียน 102
อาจารย์ตฤณ   แจ่มถิน

***เนื่องจากวันนี้อาจารย์ติดราชการนำนักศึกษาชั้นปีที่  4  ไปศึกษาดูงานที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี***

30 มกราคม 2557

30   มกราคม   2557
วิชา การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
EAED 2209 เวลา 15.00 - 17.30  กลุ่มเรียน 102
อาจารย์ตฤณ   แจ่มถิน
กิจกรรมในห้องเรียน
***วันนี้เรียนเรื่องการดูแลรักษาและส่งเสริมพัฒนาการเด็กที่มีความต้องการพิเศษ*** 
5 เรื่องไม่ควรมองข้ามในการดูแล "ลูกคนพิเศษ"
         หากได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่ของเด็กพิเศษ ทุกท่านคงหนีไม่พ้นการรับบทหนักในการดูแลลูกมากกว่าพ่อแม่คนอื่น ๆ เนื่องจากเด็กกลุ่มนี้ไม่สามารถพัฒนาความสามารถได้เต็มตามศักยภาพที่มีอยู่ได้ด้วยวิธีการปกติตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงดูตามปกติ หรือการเรียนการสอนตามปกติทั่วไป เนื่องจากข้อจำกัดบางประการที่มีอยู่ในตัวเด็ก ทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา พฤติกรรม อารมณ์ หรือสัมพันธภาพทางสังคม ซึ่งการดูแลเด็กกลุ่มนี้ จำเป็นต้องได้รับความเอาใจใส่ และความใกล้ชิดเป็นพิเศษ และคนสำคัญที่จะช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ได้ดีที่สุด ไม่ใช่โรงเรียน หรือใครอื่นใด แต่คือครอบครัวนั่นเอง
      
          "พ่อแม่หลายคนชอบตั้งความหวังกับโรงเรียน แต่กลับไม่เคยให้ความสำคัญกับลูกเวลาอยู่ที่บ้านเลย ยกตัวอย่างให้เห็นภาพจากเด็กที่มาจาก 2 ครอบครัว เริ่มจากครอบครัวแรก เด็กได้รับการดูแลเอาใจใส่ทั้งเวลา ความรัก และความเข้าใจ รวมทั้งพ่อแม่ให้ความร่วมมือกับทางโรงเรียนเป็นอย่างดี ส่วนอีกครอบครัวหนึ่ง คุณพ่อทำกิจการใหญ่โต ไม่มีเวลาดูแลลูก คุณแม่มีงานสังคมอยู่เรื่อย ๆ ส่วนเด็กอยู่กับคนใช้เป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งครูพิเศษที่พ่อแม่จ้างมาสอนที่บ้าน ทั้ง 2 ครอบครัวนี้ เมื่อถึงจุดหนึ่ง เราจะเห็นได้ชัดเลยว่าพัฒนาการของเด็กทั้ง 2 คนมีความแตกต่างกัน ทั้ง ๆ ที่อาการเริ่มต้นมีความใกล้เคียงกัน ดังนั้น โรงเรียนไม่ใช่เบอร์ 1 ค่ะ ครอบครัวต่างหากที่เป็นเบอร์ 1" ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนเด็กพิเศษเผย
     ดังนั้น คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ครอบครัวมีบทบาทสำคัญที่สุดในการดูแลเด็กพิเศษ แต่ผู้เชี่ยวชาญท่านนี้ บอกว่า การดูแลโดยการให้ความรักอย่างเต็มเปี่ยมอาจยังไม่เพียงพอ คุณพ่อคุณแม่ควรมีความรู้ ความเข้าใจ ประกอบกับมีเจตคติ และทัศนคติที่ถูกต้องด้วย และ 5 เรื่องต่อไปนี้คือสิ่งที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้ามในการดูแลลูกคนพิเศษ เริ่มจาก
  
มีความมั่นคงทางอารมณ์
คุณพ่อคุณแม่ควรยอมรับให้ได้ก่อนว่า ลูกเป็นเด็กพิเศษ เมื่อยอมรับได้แล้ว สิ่งแรกที่พึงระลึกไว้เสมอก็คือ ความมั่นคงทางอารมณ์ ไม่ทำอะไรผลีผลาม เช่น พยายามควบคุมอารมณ์เมื่อเห็นเด็กคนอื่นกำลังล้อเลียน หรือแกล้งลูก ด้วยการพาลูกเดินออกจากสถานการณ์ตรงนั้น และบอกให้เขาเข้าใจว่า ที่เพื่อนพูดแบบนั้น ถ้าเราไม่ได้เป็น ก็ไม่ควรไปสนใจ หรือถ้าเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นที่โรงเรียน ควรแจ้งคุณครูเพื่อให้ดำเนินการต่อไป ไม่ควรเข้าไปจัดการปัญหาด้วยตัวเอง เพราะอาจทำให้ปัญหาบานปลาย และตัวลูกเองอาจได้รับผลกระทบจากสังคมเพื่อนตามมาได้
       
 ไม่ทิ้งการรักษา
ถ้าได้รับการรักษาจากแพทย์ ไม่ควรทิ้ง หรือขาดช่วงการรักษา ควรติดตามการรักษา และรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง ซึ่งพ่อแม่หลายคนกังวลเรื่องผลข้างเคียงของการใช้ยาจนลืมมองถึงผลเสียจากการไม่รับประทานยาไป หากเด็กไม่ได้รับการรักษา และรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง เมื่อถึงวัยที่เด็กเข้าสู่สังคมโรงเรียน อาจเกิดปัญหาตามมาได้ โดยเฉพาะการอยู่ร่วมกันกับเพื่อนในชั้นเรียน แต่การใช้ยาควรใช้ร่วมกับการฝึกทักษะต่างๆ ที่จำเป็นไปพร้อม ๆ กันด้วย เช่น ฝึกวินัย ปรับพฤติกรรม เด็กจึงจะพัฒนาและมีความสามารถที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ดี

 ฝึกเป็นผู้สังเกตการณ์แทนครู
คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยรายงานพฤติกรรม หรือความเป็นไปเกี่ยวกับตัวลูกกับคุณครูที่โรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ครูได้มีข้อมูลเพื่อใช้ในการพัฒนาเด็ก และเข้าใจเด็กมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ควรรู้จักรับฟัง พร้อมกับแลกเปลี่ยนกับคุณครูเพื่อนำองค์ความรู้ต่าง ๆ ไปพัฒนาลูกให้ถูกทางต่อไป
       
 อย่าเป็นพ่อแม่รังแกฉัน
เมื่อลูกเป็นเด็กพิเศษ คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ ท่านพยายามประคมประหงมลูกมากเกินไป หรือพูดง่าย ๆ คือ เลี้ยงลูกให้เป็นเด็กพิเศษมากเกินไป เช่น ช่วยเหลือลูกทุกอย่างโดยที่เด็กไม่ได้รับการฝึกให้ช่วยเหลือตัวเอง หรือไม่ได้รับการฝึกที่จะยืนได้ด้วยตัวเองเลย เนื่องจากมีพ่อแม่คอยปกป้องอยู่ตลอด เมื่อเป็นเช่นนี้ อาจทำให้เด็กมีปัญหาในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมตามมาได้ ทางที่ดีควรเลี้ยงลูกให้เป็นไปตามธรรมชาติ ปล่อยให้ลูกได้ช่วยเหลือตัวเองบ้างในบางเรื่อง อย่างน้อย ๆ เป็นการเพิ่มทักษะให้ลูกได้รู้จักพึ่งพาตัวเอง และยืนได้ด้วยตัวของเขาเอง
       
หากิจกรรมทำร่วมกัน
หลาย ๆ ครอบครัวมุ่งเน้นแต่กิจกรรมนอกบ้าน แต่ไม่ค่อยมีเวลาทำกิจกรรมร่วมกันในบ้านเลย  วันหยุดเสาร์-อาทิตย์แทนที่จะพาลูกออกไปเรียนตามสถาบันต่าง ๆ ควรมีกิจกรรมในบ้านที่ทำร่วมกันบ้าง เช่น นั่งรับประทานอาหาร อ่านหนังสือ เล่านิทาน หรือพากันไปออกกำลังกายตามสวนสาธารณะใกล้บ้าน เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ นอกจากจะช่วยสานสัมพันธ์รักในครอบครัวแล้ว ยังช่วยให้ลูกมีการพัฒนาความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่ดีขึ้น
      
แน่นอนว่า การได้เห็นลูกมีพัฒนาการเต็มตามศักยภาพที่เขามีอยู่ คือสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนปรารถนา แต่ระหว่างทางที่ไปสู่จุดหมายนั้น เด็กต้องการเวลา ความรัก และกำลังใจดี ๆ จากพ่อแม่ หากทำได้เช่นนั้น เชื่อเถอะครับว่า จุดหมายปลายทางที่วาดหวังไว้รอคุณอยู่ไม่ไกลนับจากนี้



23 มกราคม 2557

23   มกราคม   2557
วิชา การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
EAED 2209 เวลา 15.00 - 17.30  กลุ่มเรียน 102
อาจารย์ตฤณ   แจ่มถิน

กิจกรรมในห้องเรียน

Autism คืออะไร

โรค Autism เป็นความผิดปกติในสมอง เด็กที่เป็นจะมีปัญหาเรื่อง การสื่อสาร ความสัมพันธ์ กับคนรอบข้างและสิ่งแวดล้อม เด็กบางคนสามารถสื่อสารกับผู้อื่นและก็มีความฉลาด แต่เด็กบางคนเป็นเด็กปัญญาอ่อน ไม่พูด เด็กบางคนก็มีพฤติกรมทำซ้ำซาก จะเห็นว่าเด็กแต่ละคนมีอาการไม่เหมือนกัน ความรุนแรงไม่เท่ากัน แต่จะมีปัญหาทางสังคม การสื่อสาร พฤติกรรม กล้ามเนื้อและความรู้สึก

เด็กที่เป็น Autism
เด็กปกติ
การสื่อสาร

ไม่มองตา
เหมือนคนหูหนวก
เคยพูดได้ต่อมาหยุดพูด
ดูหน้าแม่
หันไปตามเสียง
เรียนรู้คำพูดเพิ่มเติม
ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

เด็กจะไม่สนใจคนรอบข้าง
ทำร้ายคนโดยไม่มีสาเหตุ
จำคนไม่ได้
เด็กจะร้องเมื่อออกจากห้อง หรือมีคนแปลกหน้าเข้าใกล้
ร้องเมื่อหิวหรือหงุดหงิด
จำหน้าแม่ได้
ความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม

นั่งเล่นอย่างใดอย่างหนึ่ง
มีพฤติกรมแปลกๆเช่นนั่งโบกมือ
ดมหรือเลียตุ๊กตา
ไม่รู้สึกเจ็บปวด ชอบทำร้ายตัวเอง
เปลี่ยนของเล่น
การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างมีจุดมุ่งหมาย เช่นการหยิบของ
สำรวจและเล่นตุ๊กตา
ชอบความสุขและกลัวความเจ็บ

ปัญหาเกี่ยวกับการรับรู้
เด็กปกติจะมีการรับรู้สิ่งแวดล้อมจากสัมผัสทั้ง 5 และสมองก็สามารถที่จะแปลผลนั้นได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม แต่เด็กautism จะมีปัญหาเรื่องการรับรู้จากสัมผัสทั้ง 5ทำให้เด็กสับสน เด็กอาจจะรู้สึกเจ็บปวดเมื่อต้องสัมผัสบางอย่างเช่น  รูป  รส กลิ่น เสียง เด็กบางคนเมื่อใส่เสื้อผ้าจะทำให้เด็กไม่มีสมาธิทำอย่างอื่น เด็กบางคนจะรู้สึกอึกอัดเมื่อถูกกอด เด็กบางคนอาจจะกรีดร้องเมื่อได้ยินเสียงเครื่องบิน เสียงโทรศัพท์หรือเสียงอื่นๆ
เด็กบางคนจะไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้สึกเจ็บปวดเด็กอาจจะหกล้มกระดูกหักแต่ไม่ร้องเลย หรืออาจจะเอาหัวโขกกำแพงโดยที่ไม่ร้อง
ความสามารถพิเศษ
เด็ก autism บางคนมีความสามารถพิเศษหลายอย่างเช่น การวาดรูป ความจำ การเล่นดนตรี การอ่านหนังสือ
การพัฒนาของเด็กปกติ
การที่จะรู้ว่าเด็กมีพฤติกรรมผิดปกติต้องรู้พฤติกรรมปกติของเด็ก